The Berlin Wall Coming Down! A Reflection on German Reunification and its Impact on Cold War Dynamics
การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1989 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อดุลยอำนาจโลกและการสิ้นสุดของสงครามเย็นด้วย เหตุการณ์นี้ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่ความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในสังคมตะวันออกเยอรมันไปจนถึงนโยบาย개혁ที่กล้าหาญของ Mikhail Gorbachev ผู้นำสหภาพโซเวียต
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีถูกแบ่งแยกเป็นสองส่วนโดยกำแพงเบอร์ลินซึ่งสร้างขึ้นในปี 1961 เยอรมันตะวันออกอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียตและมีระบอบคอมมิวนิสต์ ในขณะที่เยอรมันตะวันตกเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม
ตลอดทศวรรษ 1980 ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมืองในเยอรมันตะวันออกเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ประชาชนต้องการเสรีภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า แต่รัฐบาลคอมมิวนิสต์กลับยึดมั่นในนโยบายที่เข้มงวด
ในปี 1985 Mikhail Gorbachev ขึ้นสู่อำนาจในสหภาพโซเวียต Gorbachev ปฏิรูประบบคอมมิวนิสต์ด้วยนโยบาย “Perestroika” (การปรับปรุงโครงสร้าง) และ “Glasnost” (ความโปร่งใส) ซึ่งมุ่งหวังที่จะทำให้เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น
นโยบายของ Gorbachev มีผลกระทบอย่างมากต่อเยอรมันตะวันออก การที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลจากโลกตะวันตกได้มากขึ้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในระบอบคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 Gunter Schabowski ผู้โฆษกของพรรคสังคมนิยมเยอรมันตะวันออก ประกาศอย่างกะทันหันว่าประชาชนสามารถเดินทางไปยังเยอรมันตะวันตกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
ข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และคนเยอรมันตะวันออกนับล้านแห่ไปที่กำแพงเบอร์ลินเพื่อเฉลิมฉลองความเป็นอิสระ
กำแพงถูกทำลายลง และเยอรมนีถูกรวมกันอีกครั้งในปี ค.ศ. 1990 การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของสงครามเย็น และการเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับโลก
ผลกระทบของการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน:
-
การรวมตัวของเยอรมนี: การล่มสลายของกำแพงนำไปสู่การรวมตัวของเยอรมันตะวันออกและตะวันตก
-
การสิ้นสุดของสงครามเย็น: เหตุการณ์นี้ทำให้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตเสื่อมถอย และยุติความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
-
การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์: การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแผนที่โลก และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
Angela Merkel: นำเยอรมนีผ่านยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
Angela Merkel เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการนำเยอรมนีผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เธอเกิดใน Hambrug, เยอรมันตะวันออก และเติบโตมาภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์
Merkel ศึกษาฟิสิกส์ และทำงานเป็นนักวิจัย ต่อมา เธอเข้าร่วมพรรค CDU (Christian Democratic Union) และเริ่มต้นเส้นทางการเมือง
หลังจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน Merkel พัฒนากระบวนการที่จะรวมเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก
ในปี 2005 เธอได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี และดำรงตำแหน่งนี้มาถึง 16 ปี ตลอดระยะเวลาที่ Merkel อยู่ในอำนาจ เธอได้นำเยอรมนีผ่านวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการย้ายถิ่นฐานจำนวนมาก
Merkel ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่มีความมั่นคง สงบ และมีเหตุผล เธอได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเยอรมันอย่างต่อเนื่อง
การมีส่วนร่วมของ Merkel ในยุคหลังกำแพงเบอร์ลิน:
นโยบาย/กิจกรรม | คำอธิบาย |
---|---|
การรวมตัวเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก | Merkel มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการประสานการ 통합 และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั้งสองฝ่าย |
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่มั่นคง | Merkel นำเยอรมนีผ่านวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจโลกปี 2008 ด้วยมาตรการ austerity และการสนับสนุนภาคธุรกิจ |
| การนำเสนอรางวัล Nobel Peace Prize | ในปี 2011 Merkel ได้รับรางวัล Charlemagne Prize ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผู้ที่สร้างสรรค์ความสามัคคีของยุโรป และในปี 2017 เธอได้รับรางวัล Nelson Mandela Prize for promoting peace and democracy | | การดูแลการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ | Merkel มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้อพยพจากสงครามกลางเมืองในซีเรีย
Merkel มีบทบาทสำคัญในการนำเยอรมนีผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ประเทศของเธอเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งและมีเสถียรภาพที่สุดในโลก